กระบวนการบังคับคดีเมื่อศาลสั่งให้จ่ายค่าเสียหาย: แนวทางปฏิบัติสำหรับเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา

ข่าวด่วนวันนี้ (ข่าวทั่วไทย)

เมื่อศาลพิพากษาแล้วแต่ลูกหนี้ไม่ชำระหนี้

ในระบบกฎหมายไทย เมื่อมีการฟ้องร้องดำเนินคดีจนศาลมีคำพิพากษาให้ลูกหนี้ต้องชำระค่าเสียหาย แต่ลูกหนี้ไม่ยอมปฏิบัติตาม เงียบหาย หรือติดต่อไม่ได้ ผู้ชนะคดีหรือเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาไม่จำเป็นต้องฟ้องร้องเป็นคดีใหม่ แต่สามารถร้องขอให้มีการบังคับคดีได้โดยตรง

การบังคับคดีคือกระบวนการทางกฎหมายที่รัฐจัดให้มีขึ้นเพื่อบังคับให้ลูกหนี้ปฏิบัติตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาล โดยจะกำหนดวิธีปฏิบัติ ระยะเวลา และเงื่อนไขต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ หากลูกหนี้ยังคงเพิกเฉยไม่ปฏิบัติตาม ก็อาจถูกยึดทรัพย์ อายัดทรัพย์ หรือในบางกรณีอาจถูกจำขังได้

อายุความในการบังคับคดี

สิ่งสำคัญที่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาควรทราบคือ การบังคับคดีมีอายุความ 10 ปี นับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษาในชั้นที่สุด หมายความว่า หากเจ้าหนี้ไม่ดำเนินการบังคับคดีภายในระยะเวลาดังกล่าว สิทธิในการบังคับคดีก็จะหมดไป แม้ว่าจะมีคำพิพากษาอยู่ในมือก็ตาม

ขั้นตอนการบังคับคดี

1. การยื่นคำร้องขอบังคับคดี

เมื่อศาลมีคำพิพากษาแล้ว ศาลจะออกเอกสารที่เรียกว่า “คำบังคับ” ซึ่งมีข้อความแจ้งให้ลูกหนี้ตามคำพิพากษาปฏิบัติตามคำพิพากษาภายในระยะเวลาที่กำหนด หากลูกหนี้ไม่ปฏิบัติตามคำบังคับ เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาต้องยื่นคำร้องต่อศาลในคดีเดิม เพื่อขอให้ศาลออกหมายบังคับคดีและตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดี

2. การแต่งตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดี

เมื่อศาลอนุญาตตามคำร้อง ศาลจะมีคำสั่งแต่งตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีจากกรมบังคับคดี กระทรวงยุติธรรม เพื่อทำหน้าที่ในการดำเนินการบังคับให้เป็นไปตามคำพิพากษา โดยเจ้าพนักงานบังคับคดีมีอำนาจตามกฎหมายในการดำเนินการต่างๆ เพื่อให้ลูกหนี้ปฏิบัติตามคำพิพากษา

3. การสืบทรัพย์ของลูกหนี้

เจ้าหนี้ตามคำพิพากษามีหน้าที่ในการสืบหาทรัพย์สินของลูกหนี้ เช่น ที่ดิน บ้าน รถยนต์ เงินฝากในบัญชีธนาคาร เงินเดือน หรือสิทธิเรียกร้องอื่นๆ เพื่อแจ้งต่อเจ้าพนักงานบังคับคดี โดยอาจขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีช่วยสืบหาข้อมูลจากหน่วยงานราชการหรือสถาบันการเงินต่างๆ ได้

4. การยึดหรืออายัดทรัพย์สิน

เมื่อสืบพบทรัพย์สินของลูกหนี้แล้ว เจ้าพนักงานบังคับคดีจะดำเนินการยึดหรืออายัดทรัพย์สินนั้น ซึ่งมีวิธีการแตกต่างกันไปตามประเภทของทรัพย์สิน เช่น

  • การยึดทรัพย์สินที่มีรูปร่าง เช่น บ้าน ที่ดิน รถยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ฯลฯ เจ้าพนักงานบังคับคดีจะออกไปยึดทรัพย์ ณ สถานที่ที่ทรัพย์นั้นตั้งอยู่ และทำบัญชีทรัพย์ที่ยึด พร้อมทั้งประเมินราคาทรัพย์นั้น
  • การอายัดสิทธิเรียกร้อง เช่น เงินในบัญชีธนาคาร เงินเดือน หรือค่าจ้าง เจ้าพนักงานบังคับคดีจะมีหนังสือแจ้งไปยังธนาคารหรือนายจ้างของลูกหนี้ ให้งดจ่ายเงินให้แก่ลูกหนี้ และให้ส่งมอบเงินนั้นแก่เจ้าพนักงานบังคับคดีแทน

5. การขายทอดตลาดทรัพย์สิน

เมื่อยึดหรืออายัดทรัพย์สินของลูกหนี้แล้ว เจ้าพนักงานบังคับคดีจะนำทรัพย์สินออกขายทอดตลาด โดยจะประกาศวัน เวลา และสถานที่ขายทอดตลาดให้สาธารณชนทราบล่วงหน้า เพื่อให้ผู้สนใจมาร่วมประมูลซื้อ ซึ่งผู้ที่เสนอราคาสูงสุดจะเป็นผู้ชนะการประมูล

6. การจ่ายเงินให้แก่เจ้าหนี้

เมื่อขายทอดตลาดทรัพย์สินได้แล้ว เจ้าพนักงานบังคับคดีจะนำเงินที่ได้มาชำระให้แก่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษา โดยหักค่าใช้จ่ายในการบังคับคดีก่อน หากมีเงินเหลือก็จะคืนให้แก่ลูกหนี้ แต่หากเงินที่ได้ไม่พอชำระหนี้ทั้งหมด เจ้าหนี้ก็ยังคงมีสิทธิบังคับคดีกับทรัพย์สินอื่นของลูกหนี้ต่อไปได้จนกว่าจะได้รับชำระหนี้ครบถ้วน

ประเภทของการบังคับคดีตามลักษณะของคำพิพากษา

การบังคับคดีมีวิธีการที่แตกต่างกันไปตามประเภทของคำพิพากษา ซึ่งแบ่งได้ดังนี้

1. คำพิพากษาให้ชำระหนี้เงิน

สำหรับคำพิพากษาที่ให้ลูกหนี้ชำระเงิน เจ้าพนักงานบังคับคดีจะดำเนินการยึดทรัพย์สินหรืออายัดสิทธิเรียกร้องของลูกหนี้ เพื่อนำออกขายทอดตลาดและนำเงินที่ได้มาชำระให้แก่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษา เช่น ยึดที่ดิน บ้าน รถยนต์ หรืออายัดเงินเดือน เงินในบัญชีธนาคาร เป็นต้น

2. คำพิพากษาให้ส่งมอบทรัพย์

หากศาลมีคำพิพากษาให้ลูกหนี้ส่งมอบทรัพย์สินใดๆ เจ้าพนักงานบังคับคดีจะเข้าไปยึดทรัพย์นั้นและส่งมอบให้แก่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษา หากทรัพย์นั้นเป็นทรัพย์ที่มีทะเบียน เจ้าพนักงานบังคับคดีก็จะดำเนินการแจ้งให้นายทะเบียนดำเนินการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่เจ้าหนี้ด้วย

3. คำพิพากษาให้ขับไล่

ในกรณีที่ศาลมีคำพิพากษาให้ขับไล่ลูกหนี้ออกจากอสังหาริมทรัพย์ เจ้าพนักงานบังคับคดีจะเข้าไปดำเนินการขับไล่ลูกหนี้และบริวารออกจากที่ดินหรืออาคาร หากลูกหนี้ไม่ยอมออกไปโดยดี เจ้าพนักงานบังคับคดีอาจร้องขอต่อศาลให้กักขังลูกหนี้ไว้จนกว่าจะยอมปฏิบัติตามคำพิพากษา

4. คำพิพากษาให้รื้อถอน

หากศาลมีคำพิพากษาให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง เจ้าพนักงานบังคับคดีจะดำเนินการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างนั้น โดยลูกหนี้ตามคำพิพากษาเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการรื้อถอน

5. คำพิพากษาให้ทำนิติกรรม

ในกรณีที่ศาลพิพากษาให้ลูกหนี้ต้องทำนิติกรรมใดๆ เช่น จดทะเบียนโอนที่ดิน แต่ลูกหนี้ไม่ยอมไปทำนิติกรรมตามคำพิพากษา ศาลจะมีคำสั่งให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของลูกหนี้ ซึ่งเจ้าหนี้สามารถนำคำพิพากษานั้นไปดำเนินการจดทะเบียนกับนายทะเบียนได้โดยไม่ต้องให้ลูกหนี้ไปด้วย

6. คำพิพากษาให้กระทำการอื่นที่ไม่ใช่นิติกรรม

หากศาลมีคำพิพากษาให้ลูกหนี้กระทำการอย่างอื่นที่ไม่ใช่นิติกรรม เช่น ซ่อมแซมทรัพย์ สร้างรั้ว ขุดคูระบายน้ำ ฯลฯ แต่ลูกหนี้ไม่ยอมทำตาม ศาลอาจมีคำสั่งให้บุคคลภายนอกเป็นผู้กระทำการแทน โดยให้ลูกหนี้เป็นผู้เสียค่าใช้จ่าย

ข้อควรรู้เกี่ยวกับการบังคับคดี

  1. ค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่าย: การบังคับคดีมีค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายต่างๆ เช่น ค่าธรรมเนียมการยึดทรัพย์ ค่าประกาศขายทอดตลาด ค่าเดินทางของเจ้าพนักงานบังคับคดี ฯลฯ ซึ่งโดยปกติเจ้าหนี้จะต้องทดรองจ่ายไปก่อน และจะได้รับชำระคืนจากเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์สินของลูกหนี้
  2. ทรัพย์สินที่ไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดี: กฎหมายกำหนดให้ทรัพย์สินบางประเภทไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดี เช่น เครื่องนุ่งห่มหลับนอน เครื่องใช้ในครัวเรือน เครื่องมือประกอบอาชีพที่จำเป็น ทรัพย์สินที่ใช้ในการประกอบศาสนกิจ เป็นต้น
  3. การถอนการบังคับคดี: หากลูกหนี้ชำระหนี้ครบถ้วนระหว่างการบังคับคดี เจ้าหนี้ต้องแจ้งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีทราบเพื่อดำเนินการถอนการบังคับคดี
  4. การร้องขัดทรัพย์: หากบุคคลภายนอกอ้างว่าทรัพย์ที่ถูกยึดเป็นของตน ไม่ใช่ของลูกหนี้ บุคคลนั้นสามารถยื่นคำร้องขัดทรัพย์ต่อศาลได้ และหากศาลเห็นว่าทรัพย์นั้นเป็นของบุคคลภายนอกจริง ก็จะมีคำสั่งให้ปล่อยทรัพย์นั้น

บทสรุป

การบังคับคดีเป็นกระบวนการสำคัญที่ช่วยให้คำพิพากษาของศาลมีผลบังคับได้จริงในทางปฏิบัติ โดยรัฐจัดให้มีเจ้าพนักงานบังคับคดีเป็นผู้ดำเนินการให้เป็นไปตามคำพิพากษา ทั้งนี้ เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาควรรีบดำเนินการบังคับคดีภายในอายุความ 10 ปี นับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุด เพื่อมิให้สิทธิในการบังคับคดีหมดไป

สำหรับลูกหนี้ที่ถูกบังคับคดี หากไม่มีเงินพอชำระหนี้ ก็ควรเจรจาประนีประนอมกับเจ้าหนี้เพื่อขอชำระหนี้เป็นงวดๆ หรือขอลดหนี้ เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกยึดหรืออายัดทรัพย์สิน ซึ่งจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ลูกหนี้มากกว่าการยอมชำระหนี้ตั้งแต่แรก